วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ความสำคัญ

ความสำคัญ
 ความงามหรือศิลปะในการใช้ภาษา
            ขึ้นอยู่กับ การใช้ภาษาให้ถูกต้อง ชัดเจน และ เหมาะสมกับเวลา โอกาส และบุคคล นอกจากนี้ ภาษาแต่ละภาษายังสามารถปรุงแต่ง ให้เกิดความเหมาะสม ไพเราะ หรือสวยงามได้ นอกจากนี้ ยังมีการบัญญัติคำราชาศัพท์ คำสุภาพ ขึ้นมาใช้ได้อย่างเหมาะสม แสดงให้เห็นวัฒนธรรมที่เป็นเลิศทางการใช้ภาษาที่ควรดำรงและยึดถือต่อไป ผู้สร้างสรรค์งานวรรณกรรม เรียกว่านักเขียน นักประพันธ์ หรือ กวี (Writer or Poet)  เป็นต้น
    ความหมายของภาษา

             ภาษา หมายถึง การพูด การแสดงออกเพื่อสื่อความหมายอย่างเป็นระบบ ระหว่างผู้รับสารและผู้ส่งสาร ภาษาใช้เสียงสื่อความหมายเป็นสำคัญ ดังนั้น ทุกชนชาติจึงมีภาษา นั่นคือภาษาพูด ตัวอักษรไม่ใช่ภาษา แต่เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเสียงในภาษา

ความสัมพันธ์ระหวางเสียงกับความหมาย


        คำที่พอจะมีความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับความหมายคือ "คำเลียนเสียงธรรมชาติ" ซึ่งมีอยู่น้อยนิดในแต่ละภาษา เช่น คนไทย เรียกนกชนิดหนึ่งว่า กา คนอินเดียเรียก กาก ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ภาษาเป็นไปตามกำหนดของแต่ละชนกลุ่ม


        เสียงจะมีความหมายอย่างไร ขึ้นกับการตกลงกันของคนแต่ละกลุ่ม แต่ละพวก นั่นคือ ถ้าเสียงกับความหมายมีความสัมพนธ์กันอย่างใกล้ชิดจริง ๆ แล้ว ทุก ๆ ชนชาติจะใช้คำตรงกัน และในโลกจะมีเพียงภาษาเดียวเท่านั้น 

การสื่อสารด้วยภาษาไทยอย่างมีศิลปะและมีประสิทธิภาพ


การใช้ภาษาในการสื่อสาร

มนุษย์ใช้ภาษาเป็นตัวกลางในการสื่อสารเพื่อให้ผู้ส่งสารและผู้รับสารเข้าใจตรงกันไม่ว่าจะเป็นคำพูด ข้อเขียน กิริยาท่าทาง เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ล้วนเป็นภาษาที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสาร การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องจะนำไปสู่การใช้ประโยคที่ถูกหลักไวยากรณ์ และใช้ภาษาได้สละสลวยนั้น ผู้สื่อสารควรคำนึงถึงการออกเสียง การเขียนคำ และการใช้คำให้ถูกต้อง ดังนี้

กระบวนการสื่อสาร


              กระบวนการสื่อสาร(CommunicationProcess)โดยทั่วไปเริ่มต้นจากผู้ส่งข่าวสาร(Sender) ทำหน้าที่เก็บรวบรวมแนวความคิดหรือข้อมูล จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เมื่อต้องการส่งข่าวไปยังผู้รับข่าวสาร ก็จะแปลงแนวความคิดหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องออกมาเป็น ตัวอักษร น้ำเสียง สี การเคลื่อนไหว ฯลฯ ซึ่งเรียกว่าข่าวสาร (Massage) จะได้รับการใส่รหัส(Encoding) แล้วส่งไปยังผู้รับข่าวสาร (Receivers) ผ่านสื่อกลาง(Media)ในช่องทางการสื่อสาร(CommunicationChannels)ประเภทต่างๆหรืออาจจะถูกส่งจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสารโดยตรงก็ได้ผู้รับข่าวสาร เมื่อได้รับข่าวสารแล้วจะถอดรหัส(Decoding)ตามความเข้าใจและประสบการณ์ในอดีตหรือสภาพแวดล้อมในขณะนั้น และมีปฏิกริยาตอบสนองกลับไปยังผู้ส่งข่าวสารซึ่งอยู่ในรูปขอความรู้ความเข้าใจการตอบรับ การปฏิเสธหรือการนิ่งเงียงก็เป็นได้ทั้งนี้ข่าวสารที่ถูกส่งจากผู้ส่งข่าวสารอาจจะไม่ถึงผู้รับข่าวสารทั้งหมดก็เป็นได้ หรือข่าวสารอาจถูกบิดเบือนไปเพราะในกระบวนการสื่อสารย่อมมีโอกาสเกิดสิ่งรบกวนหรือตัวแทรกแซง(Noiseor Interferes) ได้ ทุกขั้นตอนของการสื่อสาร

มารยาทในการสื่อสาร


             1. ความสุภาพ ควรใช้คำพูดที่แสดงถึวความสุภาพ และมีมารยาทตามแต่สถานการณ์ เช่น ขอโทษ ขอบคุณ ขออภัย เป็นต้น ไม่ควรแสดงอาการฌโกธรหรือมีอารมณ์ฉุนเฉียวขณะสื่อสาร ไม่ใช้น้ำเสียงห้วนๆ หรือดุดัน วางอำนาจเหนือผู้อื่น ควรใช้น้ำเสียงที่สุภาพนุ่มนวลชวนฟัง
             2.การให้เกียรติการให้เกียรติผู้ฟังหรือคู่สนทนาในขณะสื่สารจะช่วยสร้างบรรยากาศในการสื่อสารได้เป็นอย่างดี เช่น การให้เกียรติแก่สุภาพสตรีก่อนสุภายบุรุษ การยกย่องในความสามารถหรือความสำเร็จของผู้อื่นเป็นต้น

3.การรู้จักกาลเทศะในการสื่อสารผู้ส่งสารจะต้องคำนึงถึงกาลเทศะคือโอกาสสถานที่และเวลาเพื่อให้เกิดความเหมาะสม กับผู้รับสาร 

การใช้ภาษาไทยอย่างมีประสิทธิภาพ


             การใช้ภาษาไทยในการสื่อสารปํญหาที่พบส่วนใหญ่ ได้แก่ การพูดและออกเสียงคำไม่ชัดการใช้คำผิดความหมายใช้คำฟุ่มเฟือยใช้ลักษณนามไม่ถูกต้องฉะนั้นการใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร ผู้ส่งสารจะต้องรู้จักเลือกคำและใช้ประโยคให้ถูกต้องตามความเหมาะสมจึงจะทำให้ใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการเลือกใช้คำและประโยค มีดังนี้            
              การเลือกใช้คำเพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพผู้ส่งสารจะต้องมีพื้นความรู้ในเรื่องการใช้คำ เสียงของคำหรือการอ่านออกเสียงคำและรู้จักความหมายของคำรวมทั้งรู้จักแยกแยะความเหมาะสมของระดับคำกับโอกาส และบุคคลด้วยการใช้คำในภาษาไทยเพื่อการสื่อสารควรมีหลักดังนี้

              ๑.๑ ใช้คำให้ถูกต้องตรงตามตัว เนื่องจากภาษาไทยมีถ้อยคำใช้ในภาษาเป็นจำนวนมากบางคำอาจมีรูปคำคล้ายกันหรือใกล้เคียงกันแต่ความหมายต่างกัน และนำมาใช้แทนกันไม่ได้หากผู้ส่งสารขาดการศึกษาและสังเกตอาจอาจทำให้ใช้คำผิดความหมายได้ลักษณะของคำ ที่ทำให้ผู้ส่งสารสับสนใช้ผิดไม่ถูกต้องตรงตามความหมายมีดังนี้
๑) รูปคำคล้ายกันแต่ความหมายต่างกัน เช่น
ผ่อนผัน (ก) ลดย่อนตาม,ลดย่อนให้
ผ่อนปรน (ก) แบ่งหนักให้เป็นเบา เอาไปทีละน้อย ขยับขยายให้เบาบางลง
ผ่อนคลาย (ก) ลดความตึงเครียด
ผ่อนผัน มักใช้เมื่อฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าลดย่อนให้ตามที่ฝ่ายด้อยกว่าขอร้องการร้องขอของอีกฝ่ายหนึ่องเรียกว่า ขอผ่อนผัน เช่น นักศึกษาต้องการยื่นคำร้องขอผ่อนผันค่าลงทะเบียนต่อทางวิทยาลัยภายในกำหนด
ผ่อนปรน มักใช้กับบุคคลสองฝ่ายโดยที่ต่างฝ่ายตกลงยินยอมขยับขยายให้แก่กันหรือบรรเทา เช่น หมู่บ้านนี้อยู่กันมาด้วยความสงบสุข เพราะชาวบ้านต่างรู้จักผ่อนปรมให้แก่กัน
ผ่อนคลาย มักนิยมใช้กับอารมณ์และความรู้สึกหรือสภาพเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเช่นสถานการณ์ตึงเครียดจากการที่คนงาน ชุมนุมประท้วงนัดหยุดงานได้ผ่อนคลายลงแล้ว

              ๑.๒ ใช้คำถูกต้องตามอักขรวิธี การสื่อสารด้วยภาษาไทยอย่างมีประสิทธิภาพนั้นผู้ส่งสารจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ในการอ่านและเขียนให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ของภาษาทั้งนี้ผู้ส่งสารจะต้องศึกษาทั้งสองด้านควบคู่กันไปโดยอาศัยการสังเกตและจดจำเพื่อนำไปสู่การใช้ ภาษาที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การใช้คำที่ถูกต้องตามอักขรวิธีผู้ส่งสารควรศึกษาในด้านดังต่อไปนี้
การอ่านคำ คำในภาษาไทยมีวิธีการอ่านที่แตกต่างกันดังนี้
การอ่านอักษรนำ คือการอ่านออกเสียงคำที่มีพยัญชนะ๒ตัวเรียงกันพยัญชนะตัวหน้าเป็นอักษรสูงหรืออักษรกลางนำอักษรต่ำ ประสมสระเดียวกันจะออกเสียงเป็นสองพยางค์และออกเสียง อะ ที่พยัญชนะตัวหน้าเช่น
ขนุน (ขะ-หนุน) ขณะ (ขะ-หนะ)
สมาน      อ่านว่า   สะ - หมาน 
ผนวช      อ่านว่า   ผะ หนวด
สนอง       อ่านว่า   สะ หนอง
ผนวก      อ่านว่า    ผะ – หนวก
ถนอม     อ่านว่า    ถะ หนอม
ผนึก       อ่านว่า    ผะ หนึก
จมูก       อ่านว่า    จะ – หมูก
จรัส        อ่านว่า    จะ หรัด


          ๑.๓ ใช้คำถูกต้องตามหน้าที่ของคำ ลักษณะนาม  คือ  คำนามชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ประกอบนามอื่น  เพื่อบอกรูปลักษณะ  ขนาด  หรือประมาณของนาม มักใช้ตามหลังคำวิเศษณ์บอกจำนวนนับจะอยู่หลังตัวเลขบอกจำนวน   ในการใช้ลักษณะนามนั้น  ต้องคำนึงถึงความถูกต้อง ความนิยมของภาษาเป็นสำคัญ เพราะลักษณะนามของนามบางอย่างบางชนิดไม่สามารถมาเป็นกฎตายตัวว่าคำนามชนิดนั้นต้องใช้ลักษณะนามอย่างนั้น  ต้องดูส่วนอื่นประกอบด้วย  เช่น  บริบท ( คำที่อยู่รอบ ๆประโยค )  ผู้ใช้ลักษณะนามถูกต้องจึงต้องเป็นผู้สังเกตพิจารณา  และรอบรู้ในเรื่องต่าง ๆ











การเรียงลำดับคำ


              การเรียงลำดับคำเรียงตามลำดับคำแบบพจนานุกรมคำที่มีความหมายเหมือนกันจะเก็บไว้ด้วยกันโดยใช้เครื่องหมายจุลภาคคั่นและเรียงสลับกันไป ในตำแหน่งของหมวดอักษรนั้น ๆ โดยแสดงลักษณนามไว้ที่คอลัมน์ด้านขวา เช่น
กงกระสุน                             - คัน
กงเกวียนกงล้อ                     - กงวง
คำนามที่มีลักษณนามได้หลายอย่าง   คำนามบางคำอาจมีลักษณนามได้หลายอย่างในการกำหนดลักษณนามแบ่งออกเป็น ๓ แบบ คือ
           กำหนดลักษณนามที่นิยมใช้กันมากไว้หน้าสุดและลักษณนามอื่น ๆ เรียงตามกันไปโดยใช้เครื่องหมายจุลภาคคั่น เช่น
ไข่                           - ใบฟองลูก
โคม (ชนิดต่าง ๆ)    - ดวงใบลูก
        กำหนดลักษณนามแตกต่างกันตามสภาพที่เป็นอยู่โดยใช้เครื่องหมายอัฒภาคคั่น เพื่อบอกให้รู้ว่าลักษณนามนั้นๆแม้จะเป็นลักษณนามของสิ่งเดียวกันแต่ก็มีความแตกต่างกันตามสภาพ เช่น ซิ่นผ้าซิ่น       - ผืนตัวถุง หมายความว่าซิ่นหรือผ้าซิ่นถ้ายังไม่ได้ตัดเย็บลักษณนามใช้ว่าผืนแต่ถ้าตัดเย็บแล้วใช้ลักษณนามว่า ตัว หรือ ถุง
ปิ่นโต           - ใบลูกเถาสาย หมายความว่าปิ่นโตแต่ละใบใช้ลักษณนามว่าใบหรือลูกแต่ถ้านำมาเรียงซ้อนกันแล้วมีเครื่องยึดรวมเข้าด้วยกัน ใช้ลักษณนามว่าเถาหรือสายบางครั้งอาจให้คำอธิบายสั้นๆไว้หลังลักษณนามนั้นๆโดยใส่คำอธิบายไว้ในเครื่องหมายวงเล็บ เช่น 
ระนาด (เครื่องปี่พาทย์ชนิดหนึ่ง)       - ลูก (ลูกระนาด);ผืน (ลูกระนาดที่ร้อยเข้า เป็นชุด);ราง
        กำหนดลักษณนามตามขนาดความกว้างความยาวปริมาณน้ำหนักหรือรูปแบบที่ใช้งานโดยระบุว่า “เรียกตามลักษณะหรือเรียกตามลักษณะหรือลักษณะบรรจุภัณฑ์แล้วให้ยกตัวอย่างลักษณนาม เช่น ทอฟฟี่  เรียกตามลักษณะหรือลักษณะบรรจุภัณฑ์  เช่นเม็ดอันห่อแท่งหรือกำหนดทั้งลักษณนามทั่วไปและลักษณะบรรจุภัณฑ์ เช่นด้าย      - เส้นเรียกตามลักษณะหรือลักษณะบรรจุภัณฑ์ เช่น กลุ่ม เข็ด ไจ หลอด
ผม    - เส้นเรียกตามลักษณะ เช่น กระจุก ปอย
ฉลองพระเนตร  - องค์
ฉลองพระบาทรองพระบาท  - ข้างองค์คู่ ในกรณีที่คำนามนั้นเป็นทั้งคำราชาศัพท์และคำนามที่ใช้ได้ทั่วไปจะกำหนดลักษณนามไว้ทั้ง ๒ อย่าง เช่น 

พระขรรค์       - องค์เล่ม (ถ้าใช้ทั่วไป)