วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ความสำคัญ

ความสำคัญ
 ความงามหรือศิลปะในการใช้ภาษา
            ขึ้นอยู่กับ การใช้ภาษาให้ถูกต้อง ชัดเจน และ เหมาะสมกับเวลา โอกาส และบุคคล นอกจากนี้ ภาษาแต่ละภาษายังสามารถปรุงแต่ง ให้เกิดความเหมาะสม ไพเราะ หรือสวยงามได้ นอกจากนี้ ยังมีการบัญญัติคำราชาศัพท์ คำสุภาพ ขึ้นมาใช้ได้อย่างเหมาะสม แสดงให้เห็นวัฒนธรรมที่เป็นเลิศทางการใช้ภาษาที่ควรดำรงและยึดถือต่อไป ผู้สร้างสรรค์งานวรรณกรรม เรียกว่านักเขียน นักประพันธ์ หรือ กวี (Writer or Poet)  เป็นต้น
    ความหมายของภาษา

             ภาษา หมายถึง การพูด การแสดงออกเพื่อสื่อความหมายอย่างเป็นระบบ ระหว่างผู้รับสารและผู้ส่งสาร ภาษาใช้เสียงสื่อความหมายเป็นสำคัญ ดังนั้น ทุกชนชาติจึงมีภาษา นั่นคือภาษาพูด ตัวอักษรไม่ใช่ภาษา แต่เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเสียงในภาษา

ความสัมพันธ์ระหวางเสียงกับความหมาย


        คำที่พอจะมีความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับความหมายคือ "คำเลียนเสียงธรรมชาติ" ซึ่งมีอยู่น้อยนิดในแต่ละภาษา เช่น คนไทย เรียกนกชนิดหนึ่งว่า กา คนอินเดียเรียก กาก ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ภาษาเป็นไปตามกำหนดของแต่ละชนกลุ่ม


        เสียงจะมีความหมายอย่างไร ขึ้นกับการตกลงกันของคนแต่ละกลุ่ม แต่ละพวก นั่นคือ ถ้าเสียงกับความหมายมีความสัมพนธ์กันอย่างใกล้ชิดจริง ๆ แล้ว ทุก ๆ ชนชาติจะใช้คำตรงกัน และในโลกจะมีเพียงภาษาเดียวเท่านั้น 

การสื่อสารด้วยภาษาไทยอย่างมีศิลปะและมีประสิทธิภาพ


การใช้ภาษาในการสื่อสาร

มนุษย์ใช้ภาษาเป็นตัวกลางในการสื่อสารเพื่อให้ผู้ส่งสารและผู้รับสารเข้าใจตรงกันไม่ว่าจะเป็นคำพูด ข้อเขียน กิริยาท่าทาง เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ล้วนเป็นภาษาที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสาร การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องจะนำไปสู่การใช้ประโยคที่ถูกหลักไวยากรณ์ และใช้ภาษาได้สละสลวยนั้น ผู้สื่อสารควรคำนึงถึงการออกเสียง การเขียนคำ และการใช้คำให้ถูกต้อง ดังนี้

กระบวนการสื่อสาร


              กระบวนการสื่อสาร(CommunicationProcess)โดยทั่วไปเริ่มต้นจากผู้ส่งข่าวสาร(Sender) ทำหน้าที่เก็บรวบรวมแนวความคิดหรือข้อมูล จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เมื่อต้องการส่งข่าวไปยังผู้รับข่าวสาร ก็จะแปลงแนวความคิดหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องออกมาเป็น ตัวอักษร น้ำเสียง สี การเคลื่อนไหว ฯลฯ ซึ่งเรียกว่าข่าวสาร (Massage) จะได้รับการใส่รหัส(Encoding) แล้วส่งไปยังผู้รับข่าวสาร (Receivers) ผ่านสื่อกลาง(Media)ในช่องทางการสื่อสาร(CommunicationChannels)ประเภทต่างๆหรืออาจจะถูกส่งจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสารโดยตรงก็ได้ผู้รับข่าวสาร เมื่อได้รับข่าวสารแล้วจะถอดรหัส(Decoding)ตามความเข้าใจและประสบการณ์ในอดีตหรือสภาพแวดล้อมในขณะนั้น และมีปฏิกริยาตอบสนองกลับไปยังผู้ส่งข่าวสารซึ่งอยู่ในรูปขอความรู้ความเข้าใจการตอบรับ การปฏิเสธหรือการนิ่งเงียงก็เป็นได้ทั้งนี้ข่าวสารที่ถูกส่งจากผู้ส่งข่าวสารอาจจะไม่ถึงผู้รับข่าวสารทั้งหมดก็เป็นได้ หรือข่าวสารอาจถูกบิดเบือนไปเพราะในกระบวนการสื่อสารย่อมมีโอกาสเกิดสิ่งรบกวนหรือตัวแทรกแซง(Noiseor Interferes) ได้ ทุกขั้นตอนของการสื่อสาร

มารยาทในการสื่อสาร


             1. ความสุภาพ ควรใช้คำพูดที่แสดงถึวความสุภาพ และมีมารยาทตามแต่สถานการณ์ เช่น ขอโทษ ขอบคุณ ขออภัย เป็นต้น ไม่ควรแสดงอาการฌโกธรหรือมีอารมณ์ฉุนเฉียวขณะสื่อสาร ไม่ใช้น้ำเสียงห้วนๆ หรือดุดัน วางอำนาจเหนือผู้อื่น ควรใช้น้ำเสียงที่สุภาพนุ่มนวลชวนฟัง
             2.การให้เกียรติการให้เกียรติผู้ฟังหรือคู่สนทนาในขณะสื่สารจะช่วยสร้างบรรยากาศในการสื่อสารได้เป็นอย่างดี เช่น การให้เกียรติแก่สุภาพสตรีก่อนสุภายบุรุษ การยกย่องในความสามารถหรือความสำเร็จของผู้อื่นเป็นต้น

3.การรู้จักกาลเทศะในการสื่อสารผู้ส่งสารจะต้องคำนึงถึงกาลเทศะคือโอกาสสถานที่และเวลาเพื่อให้เกิดความเหมาะสม กับผู้รับสาร 

การใช้ภาษาไทยอย่างมีประสิทธิภาพ


             การใช้ภาษาไทยในการสื่อสารปํญหาที่พบส่วนใหญ่ ได้แก่ การพูดและออกเสียงคำไม่ชัดการใช้คำผิดความหมายใช้คำฟุ่มเฟือยใช้ลักษณนามไม่ถูกต้องฉะนั้นการใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร ผู้ส่งสารจะต้องรู้จักเลือกคำและใช้ประโยคให้ถูกต้องตามความเหมาะสมจึงจะทำให้ใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการเลือกใช้คำและประโยค มีดังนี้            
              การเลือกใช้คำเพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพผู้ส่งสารจะต้องมีพื้นความรู้ในเรื่องการใช้คำ เสียงของคำหรือการอ่านออกเสียงคำและรู้จักความหมายของคำรวมทั้งรู้จักแยกแยะความเหมาะสมของระดับคำกับโอกาส และบุคคลด้วยการใช้คำในภาษาไทยเพื่อการสื่อสารควรมีหลักดังนี้

              ๑.๑ ใช้คำให้ถูกต้องตรงตามตัว เนื่องจากภาษาไทยมีถ้อยคำใช้ในภาษาเป็นจำนวนมากบางคำอาจมีรูปคำคล้ายกันหรือใกล้เคียงกันแต่ความหมายต่างกัน และนำมาใช้แทนกันไม่ได้หากผู้ส่งสารขาดการศึกษาและสังเกตอาจอาจทำให้ใช้คำผิดความหมายได้ลักษณะของคำ ที่ทำให้ผู้ส่งสารสับสนใช้ผิดไม่ถูกต้องตรงตามความหมายมีดังนี้
๑) รูปคำคล้ายกันแต่ความหมายต่างกัน เช่น
ผ่อนผัน (ก) ลดย่อนตาม,ลดย่อนให้
ผ่อนปรน (ก) แบ่งหนักให้เป็นเบา เอาไปทีละน้อย ขยับขยายให้เบาบางลง
ผ่อนคลาย (ก) ลดความตึงเครียด
ผ่อนผัน มักใช้เมื่อฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าลดย่อนให้ตามที่ฝ่ายด้อยกว่าขอร้องการร้องขอของอีกฝ่ายหนึ่องเรียกว่า ขอผ่อนผัน เช่น นักศึกษาต้องการยื่นคำร้องขอผ่อนผันค่าลงทะเบียนต่อทางวิทยาลัยภายในกำหนด
ผ่อนปรน มักใช้กับบุคคลสองฝ่ายโดยที่ต่างฝ่ายตกลงยินยอมขยับขยายให้แก่กันหรือบรรเทา เช่น หมู่บ้านนี้อยู่กันมาด้วยความสงบสุข เพราะชาวบ้านต่างรู้จักผ่อนปรมให้แก่กัน
ผ่อนคลาย มักนิยมใช้กับอารมณ์และความรู้สึกหรือสภาพเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเช่นสถานการณ์ตึงเครียดจากการที่คนงาน ชุมนุมประท้วงนัดหยุดงานได้ผ่อนคลายลงแล้ว

              ๑.๒ ใช้คำถูกต้องตามอักขรวิธี การสื่อสารด้วยภาษาไทยอย่างมีประสิทธิภาพนั้นผู้ส่งสารจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ในการอ่านและเขียนให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ของภาษาทั้งนี้ผู้ส่งสารจะต้องศึกษาทั้งสองด้านควบคู่กันไปโดยอาศัยการสังเกตและจดจำเพื่อนำไปสู่การใช้ ภาษาที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การใช้คำที่ถูกต้องตามอักขรวิธีผู้ส่งสารควรศึกษาในด้านดังต่อไปนี้
การอ่านคำ คำในภาษาไทยมีวิธีการอ่านที่แตกต่างกันดังนี้
การอ่านอักษรนำ คือการอ่านออกเสียงคำที่มีพยัญชนะ๒ตัวเรียงกันพยัญชนะตัวหน้าเป็นอักษรสูงหรืออักษรกลางนำอักษรต่ำ ประสมสระเดียวกันจะออกเสียงเป็นสองพยางค์และออกเสียง อะ ที่พยัญชนะตัวหน้าเช่น
ขนุน (ขะ-หนุน) ขณะ (ขะ-หนะ)
สมาน      อ่านว่า   สะ - หมาน 
ผนวช      อ่านว่า   ผะ หนวด
สนอง       อ่านว่า   สะ หนอง
ผนวก      อ่านว่า    ผะ – หนวก
ถนอม     อ่านว่า    ถะ หนอม
ผนึก       อ่านว่า    ผะ หนึก
จมูก       อ่านว่า    จะ – หมูก
จรัส        อ่านว่า    จะ หรัด


          ๑.๓ ใช้คำถูกต้องตามหน้าที่ของคำ ลักษณะนาม  คือ  คำนามชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ประกอบนามอื่น  เพื่อบอกรูปลักษณะ  ขนาด  หรือประมาณของนาม มักใช้ตามหลังคำวิเศษณ์บอกจำนวนนับจะอยู่หลังตัวเลขบอกจำนวน   ในการใช้ลักษณะนามนั้น  ต้องคำนึงถึงความถูกต้อง ความนิยมของภาษาเป็นสำคัญ เพราะลักษณะนามของนามบางอย่างบางชนิดไม่สามารถมาเป็นกฎตายตัวว่าคำนามชนิดนั้นต้องใช้ลักษณะนามอย่างนั้น  ต้องดูส่วนอื่นประกอบด้วย  เช่น  บริบท ( คำที่อยู่รอบ ๆประโยค )  ผู้ใช้ลักษณะนามถูกต้องจึงต้องเป็นผู้สังเกตพิจารณา  และรอบรู้ในเรื่องต่าง ๆ











การเรียงลำดับคำ


              การเรียงลำดับคำเรียงตามลำดับคำแบบพจนานุกรมคำที่มีความหมายเหมือนกันจะเก็บไว้ด้วยกันโดยใช้เครื่องหมายจุลภาคคั่นและเรียงสลับกันไป ในตำแหน่งของหมวดอักษรนั้น ๆ โดยแสดงลักษณนามไว้ที่คอลัมน์ด้านขวา เช่น
กงกระสุน                             - คัน
กงเกวียนกงล้อ                     - กงวง
คำนามที่มีลักษณนามได้หลายอย่าง   คำนามบางคำอาจมีลักษณนามได้หลายอย่างในการกำหนดลักษณนามแบ่งออกเป็น ๓ แบบ คือ
           กำหนดลักษณนามที่นิยมใช้กันมากไว้หน้าสุดและลักษณนามอื่น ๆ เรียงตามกันไปโดยใช้เครื่องหมายจุลภาคคั่น เช่น
ไข่                           - ใบฟองลูก
โคม (ชนิดต่าง ๆ)    - ดวงใบลูก
        กำหนดลักษณนามแตกต่างกันตามสภาพที่เป็นอยู่โดยใช้เครื่องหมายอัฒภาคคั่น เพื่อบอกให้รู้ว่าลักษณนามนั้นๆแม้จะเป็นลักษณนามของสิ่งเดียวกันแต่ก็มีความแตกต่างกันตามสภาพ เช่น ซิ่นผ้าซิ่น       - ผืนตัวถุง หมายความว่าซิ่นหรือผ้าซิ่นถ้ายังไม่ได้ตัดเย็บลักษณนามใช้ว่าผืนแต่ถ้าตัดเย็บแล้วใช้ลักษณนามว่า ตัว หรือ ถุง
ปิ่นโต           - ใบลูกเถาสาย หมายความว่าปิ่นโตแต่ละใบใช้ลักษณนามว่าใบหรือลูกแต่ถ้านำมาเรียงซ้อนกันแล้วมีเครื่องยึดรวมเข้าด้วยกัน ใช้ลักษณนามว่าเถาหรือสายบางครั้งอาจให้คำอธิบายสั้นๆไว้หลังลักษณนามนั้นๆโดยใส่คำอธิบายไว้ในเครื่องหมายวงเล็บ เช่น 
ระนาด (เครื่องปี่พาทย์ชนิดหนึ่ง)       - ลูก (ลูกระนาด);ผืน (ลูกระนาดที่ร้อยเข้า เป็นชุด);ราง
        กำหนดลักษณนามตามขนาดความกว้างความยาวปริมาณน้ำหนักหรือรูปแบบที่ใช้งานโดยระบุว่า “เรียกตามลักษณะหรือเรียกตามลักษณะหรือลักษณะบรรจุภัณฑ์แล้วให้ยกตัวอย่างลักษณนาม เช่น ทอฟฟี่  เรียกตามลักษณะหรือลักษณะบรรจุภัณฑ์  เช่นเม็ดอันห่อแท่งหรือกำหนดทั้งลักษณนามทั่วไปและลักษณะบรรจุภัณฑ์ เช่นด้าย      - เส้นเรียกตามลักษณะหรือลักษณะบรรจุภัณฑ์ เช่น กลุ่ม เข็ด ไจ หลอด
ผม    - เส้นเรียกตามลักษณะ เช่น กระจุก ปอย
ฉลองพระเนตร  - องค์
ฉลองพระบาทรองพระบาท  - ข้างองค์คู่ ในกรณีที่คำนามนั้นเป็นทั้งคำราชาศัพท์และคำนามที่ใช้ได้ทั่วไปจะกำหนดลักษณนามไว้ทั้ง ๒ อย่าง เช่น 

พระขรรค์       - องค์เล่ม (ถ้าใช้ทั่วไป)

ใช้คำถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล



          การใช้คำในภาษาไทยใช้ต่างกันตามความเหมาะสมประกอบด้วยเสียงและความหมายการรู้จักเลือกคำมาใช้การศึกาษาภาษาไทย นอกจากจะศึกษาลักษณะสำคัญของภาษาแล้วยังต้องศึกษาเรื่องการใช้ภาษาที่ถูกต้องเหมาะสมหากผู้ใช้ภาษามีความรู้เรื่องการใช้ภาษาไม่ดีพอ อาจทำให้การติดต่อสื่อสารเกิดความผิดพลาดสื่อสารได้ไม่ตรงความต้องการ หรือสื่อึความได้แต่ไม่เหมาะสมทำให้ขาดประสิทธิภาพในการสื่อสาร ความผิดพลาดหรือความไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้นดังกล่าวล้วนมีสาเหตุมาจากการใช้ภาษาที่บกพร่องหรือไม่คำนึงถึงการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การใช้ภาษาไทยอย่างมีศิลปะ


การใช้ภาษาที่สื่อสารความหมายได้ดีผู้ใช้ภาษาจะต้องมีพื้นความรู้เกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำที่ถูกต้องตามความหมายและการใช้ประโยคที่ ถูกต้องตามกลักไวยากรณ์มาก่อนจึงจะสามารถใช้ภาษาสื่อความหมายได้ชัดเจนศิลปะของการใช้ภาษาที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
-การใช้สำนวนคำพังเพยคำเปรียบต้องเลือกให้ตรงกับความนิยมของคนทั่วไป
-การออกเสียงคำตามความนิยมคำบางคำเมื่อนำมาใช้แล้วออกเสียงไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ของภาษา เป็นเพราะความนิยมของผู้ใช้ภาษาต้องการออกเสียงเช่นนั้น
เป็นการสื่อสารที่ใช้สื่อเข้าช่วยให้ถึงคนจำนวนมากๆในเวลาเดียวกันซึ่งไม่อาจกำหนดจำนวนผู้รับสารได้ และไม่อาจรับผลย้อนกลับได้ทันที
              ลักษณะที่แสดงว่าผู้ส่งสารใช้ภาษาไทยอย่างมีศิลปะพิจารณาได้จากความสามารถในการใช้ภาษาได้อย่างมีความไพเราะ สละสลวยน่าฟังเหมาะสมกับกาลเทศะก่อให้ผู้รับสารเกิดความน่าเชื่อถือสบายใจและประทับใจในการสื่อสารร่วมกัน การใช้ภาษาไทยในการสื่อสารอย่างมีศิลปะควรมีหลักการสื่อสารดังนี้

             ๑.ใช้วิธีหลากคำ การใช้คำไม่ซ้ำซากจำเจถ้าไม่ต้องการเน้นคำใดเป็นพิเศษไม่ควรใช้คำนั้นซ้ำหลายครั้งในที่ใกล้กันิเพราะจะ ทำให้เกิด การซ้ำคำควรใช้การหลากคำให้เหมาะสม  การใช้คำให้เหมาะกับกาลเทศะและบุคคล การใช้ภาษาให้มีประสิทธิผลนั้นนอกจากจะคำนึงถึงความหมายแล้วยังต้องคำนึงถึงระดับภาษาที่ใช้ ให้เหมาะแก่เวลา สถานที่ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สื่อที่ใช้ในการส่งสาร และควรคำนึงถึงฐานะ  ทางบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับคำสุภาพและราชาศัพท์ด้วย การใช้คำให้ตรงตามความนิยมของผู้ใช้ภาษาเดียวกัน คำที่มีความหมายเดียวกัน จะเลือกใช้คำใดแล้วแต่ความนิยม  ของผู้ใช้ภาษานั้น เช่น ชุมชนแออัด การจราจรคับคั่ง ผู้คนแน่นขนัด ประชากรหนาแน่น

๒.ใช้ภาษาเรียบง่ายแต่สื่อสารความหมายได้ดี
ไม่ใช้ประโยคที่ซับซ้อนเต็มไปด้วยคำฟุ่มเฟือย
-ไม่ใช้ภาษาที่คลุมเครือขาดความชัดเจน

๓.ใช้ภาษาถูกต้องตามความนิยม
               การใช้ภาษาถูกต้องตามความนิยมคือการนำมาใช้ทำความเข้าใจความหมายของสารหรือภาษาและเป็นไปตามข้อตกลงของสังคม เช่น
-การเรียกชื่อสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆที่เป็นที่รู้จักทั่วไป

  ๔.รู้จันำถ้อยคำสำนวนมาใช้
               การนำถ้อยคำสำนวนมาใช้จะทำให้การใช้ภาษามีความสละสลวยและมีอรรถรสดีขึ้นทั้งนี้จะต้องยึดหลักความเหมาะสมกับกาลเทศะ และถูกต้องตามความนิยมและความหมายของถ้อยคำสำนวนนั้นๆเช่น
-ในเมื่อตอนนี้เรายังไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์ได้อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเสียก่อน
กระต่ายตืนตูม เป็นสำนวนหมายถึงอาการที่ตื่นตกใจง่ายโดยไม่พิจรณาให้ถ่องแท้เสียก่อน
-งานนี้รับรองว่ายากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก
เข็นครกขึ้นภูเขา เป็นสำนวนหมายถึงทำงานที่ยากลำบากเกินความสามารถ

 ๕.รู้จักใช้ภาษาให้เกิดภาพพจน์
การใช้ถ้อยคำที่ช่วยให้ผู้รับสารนึกเห็นภาพหรือเกิดความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งจะช่วยให้สื่อความหมายได้ชัดเจนยิ่งขึน ถ้อยคำที่ช่วยให้เกิดภาพพจน์ เช่น
-คำที่แสดงอาการเช่นกระฟัดกระเฟียด,สะอิดสะเอียน,หลุกหลิก,ผลุนผลัน,โซเซ
-คำที่แสดงความรู้สึกเช่นร้อนอบอ้าว,ร้อนผ่าวๆ,แห้งผาก,หวานแหลม,เย็นเจี๊ยบ
-คำที่แสดงภาพเช่นสูงตระหง่าน,บานสะพรั่ง,เตี้ยม่อต้อ,ผวสลวย,เหลืองอร่าม

-คำที่แสดงเสียงเช่นเซ็งแซ่,เปาะแปะ,อ้อแอ้,เจี้ยวจ๊าว,เอะอะโวยวาย,อึกทึกครึกโครม

ปัจจัยที่ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ


              ในการสื่อสารกันแต่ละครั้งนั้นทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารย่อมหวังให้การสื่อสารนั้นๆเกิดผลสัมฤทธิ์และมีประสิทธิภาพสูงสุด นั่นคือเมื่อได้สื่อสารออกไปแล้วเนื้อหาของสารที่ส่งออกไปต้องตรงกัยจุดมุ่งหมายของการสื่อสารและตรงกับเจตนาของผู้ส่งสาร เรียกว่าสามารถสื่อสารกันได้ถูกต้องแม่นยำและรวดเร็วจึงจะถือว่าการสื่อสารนั้นเกิดผลสัมฤิทธิ์มีประสิทธิภาพการสื่อสารที่มี ประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กัยปัจจัยหลายประการ

๑. ปัจจัยด้านตัวบุคคล
ตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องในด้านการสื่อสารได้แก่ผู้ส่งสารและผู้รับสารโดยทั้งสองฝ่ายจะต้องมีพื้นฐานดังต่อไปนี้
               ๑.๑มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะสื่อสารถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีพื้นฐานความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับเนื้อหาสาระที่จะสื่อสารก็อาจจพ ต้องสื่อสารกันหลายครั้งทำให้เสียเวลาและขาดประสิทธิภาพในการสื่อสาร
               ๑.๒มีทักษะเกี่ยวกับกระบวนการสื่อสารกระบวนการสื่อสา(CommunicationProcess)โดยทั่วไปเริ่มต้นจากผู้ส่งข่าวสาร (Sender) ทำหน้าที่เก็บรวบรวมแนวความคิดหรือข้อมูล จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เมื่อต้องการส่งข่าวไปยังผู้รับข่าวสาร ก็จะแปลงแนวความคิดหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องออกมาเป็น ตัวอักษร น้ำเสียง สี การเคลื่อนไหว ฯลฯ ซึ่งเรียกว่าข่าวสาร (Massage)จะได้รับการใส่รหัส(Encoding) แล้วส่งไปยังผู้รับข่าวสาร (Receivers) ผ่านสื่อกลาง(Media)ในช่องทางการสื่อสาร(CommunicationChannels)ประเภทต่างๆหรืออาจจะถูกส่งจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสารโดยตรงก็ได้ ผู้รับข่าวสาร เมื่อได้รับข่าวสารแล้วจะถอดรหัส (Decoding) ตามความเข้าใจและประสบการณ์ในอดีต หรือสภาพแวดล้อมในขณะนั้น และมีปฏิกริยาตอบสนองกลับไปยังผู้ส่งข่าวสารซึ่งอยู่ในรูปขอความรู้ ความเข้าใจ การตอบรับ การปฏิเสธหรือการนิ่งเงียงก็เป็นได้ ทั้งนี้ข่าวสารที่ถูกส่งจากผู้ส่งข่าวสารอาจจะไม่ถึงผู้รับข่าวสารทั้งหมดก็เป็นได้ หรือข่าวสารอาจถูกบิดเบือนไปเพราะในกระบวนการสื่อสาร ย่อมมีโอกาสเกิดสิ่งรบกวน หรือตัวแทรกแซง(Noise or Interferes) ได้ ทุกขั้นตอนของการสื่อสาร
                 ๑.๓มีทักษะเกี่ยวกับการใช้ภาษาผุ้ส่งสารและผู้รับสารจะต้องสามารถใช้ทักษะในการสื่อสารได้คล่องแคล่วทั้งด้านการฟัง,พูด,อ่าน,เขียน จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการสื่อสารได้

 ๒.ปัจจัยด้านสาร
                 หมายถึงเรื่องราว ความรู้ความคิดต่างๆ ที่ผู้ส่งประสงค์จะให้ไปถึงผู้รับ มีองค์ประกอบที่เป็นปัจจัยชี้ความสำเร็จของการสื่อสาร 3 ประการ คือ (๑เนื้อหาของสาร (๒) สัญลักษณ์หรือรหัสของสาร (๓การเลือกและจัดลำดับข่าวสาร

 ๓.ปัจจัยด้านสื่อ

                   เป็นการสื่อสารที่ใช้สื่อเข้าช่วยให้ถึงคนจำนวนมากๆในเวลาเดียวกันซึ่งไม่อาจกำหนดจำนวนผู้รับสารได้ และไม่อาจรับผลย้อนกลับได้ทัน

สรุปการการสื่อสารด้วยภาษาไทยอย่างมีศิลปะและมีประสิทธิภาพ


การออกเสียงคำได้อย่างถูกต้อง
                คนไทยส่วนใหญ่ออกเสียงคำได้อย่างถูกต้อง คำที่มีปัญหาในการออกเสียงส่วนใหญ่มักเป็นคำที่ยืมมาจากภาษาอื่น เช่น ภาษาสันสกฤต ภาษาจีน

การใช้คำได้อย่างถูกต้อง
              คำแต่ละคำย่อมมีความหมายแตกต่างกัน นอกจากความหมายโดยตรงแล้วยังอาจมีความหมายแฝงด้วย อีกทั้งขอบเขตความหมายของคำยังไม่ตามตัว อาจกว่างแคบหรือเปลี่ยนแปลงได้ถลอดเวลา นววรรณ พันธุเมธา ได้ตำแนกความหมายของคำไว้หลายประการ ได้แก่ ความหมายกว้างแคบ ความหมายตามตัวและความหมายอุปมา ความหมายนัยตรงและความหมายนัยประหวัด ความหมายคล้ายกัน ความหมายตรงข้ามกัน และคำหลายความหมาย

การใช้ประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
         เมื่อใช้คำได้อย่างถูกต้องแล้ว ลำดับต่อไปคือ การนำคำต่างๆมาเรียบเรียเป็นประโยคให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ไทย การใช้ประโยคได้อย่างถูกต้องย่อมทำให้การสื่อสารแต่ละครั้งบรรลุจุดมุ่งหมายการใช้ประโยคไม่ถูกต้องเกิดจากสาเหตุหลายประการ ดังนี้
 การเรียงประธาน กริยา กรรม ไม่เป็นไปตามลำดับ
 คำเชื่อมประโยคอยู่ผิดที่
  การใช้คำบุพบท สันธาน หรือลักษณนามผิด
  ๔. การวางส่วนขยายไม่ชิดคำที่ต้องการอธิบาย

การหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาพูดในภาษาเขียน
     แม้ว่าการใช้ภาษาพูดในภาษาเขียนจะมีจุดมุ่งหมายตรงกัน คือ เพื่อให้การสื่อสารบะะลุจุดมุ่งหมาย แต่ก็มีองค์ประกอบทที่ใช้ในการสื่อสารต่างกันทำให้ภาษาเขียนมีกฏเกณฑ์ในการใช้ภาษาต่างจากภาษาพูด
ข้อแตกต่างระหว่างภาษาพูดและภาษาเขียนมีดังนี้
     การพูดมีสถามการณืและสภาพแวดล้อมช่วยให้เข้าใจได้ดียิ่งกว่าการเขียน
     ภาษาพูดเป็นการสื่อสารเฉพาะขณะที่พูด
     ในการพูดอาจใช้ภาษาเฉพาะกลุ่มได้
     ในการพูดนั้นผู้ส่งสารและผู้รับสารมีความใกล้ชิดกัน
     ในการพูด เราอาจพูดซ้ำได้ เพื่อทวนเรื่องที่ยากให้เข้าใจ
     ภาษาเขียนไม่ควรมีข้อผิดพลาด ควรเรียบเรียงอย่างระมัดระวังและเลือกสรรถ้อยคำอย่างสุภาพ

การใช้สำนวนโวหารในการสื่อสาร
     สำนวนโวหารหมายถึง ถ้วยคำที่เรียบเรียง ดังนั้น การใช้สำนวนโวหาร จึงหมายถึง การใช้ถ้อยคำที่เรียบเรียงมาแล้วเป็นอย่างดีในปัจจุบันนิยมใช้สำนวนโวหารอยู่ 4 ประเภท ได้แก่ บรรยายโวหาร อธิบายโวหาร วิจารณ์โวหาร และ พรรณาโวหาร ดังนี้
                     บรรยายโวหาร คือ โวหารที่ใช้ในการเล่าเรื่องหรือบรรยายเรื่องอย่างละเอียดเน้นการดำเนินเรื่องไปตามลำดับเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจอย่างละเอียด
      อธิบายโวหาร คือ โวหารที่ใช้ในการไขความ ขยายความ หรือชี้แจง เพื่อให้ผู้รับสารเกินความเข้าใจในรายละเอียดต่างๆ อย่างกระจ่างชัดเจนแล้วลึกซึ้ง
      วิจารณ์โวหาร คือ โวหารที่ใช้แยกแยะส่วนประกอบต่างๆ ของเรื่องราว สิ่งของ หรือเหตุการณ์ในแก่มุมต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นข้อดี ข้อด้อย ความสำคัญและคุณค่าของสิ่งที่ต้องการวิจารณ์
      พรรณนาโวหาร คือ โวหารที่ใช้แสดงความรู้สึกนึกคิดหรือภาพพจน์อย่างละเอียดผู้มุ่งให้ผู้รับสารเกิดจินตนาการคล้อยตามให้ได้ สิ่งที่มาพรรณนาโวหารทักเป็นเนื้อหาที่กล่าว ยกย่องเกียรติคุณ

 คคุณความดีของบุคคล ความงดงามของธรรมชาติ